PUNGTOE พังโต๊ะ ดูบอลสด ทีเด็ดบอล และตารางบอลครบทุกลีกดัง

แมนฯซิตี้ "ความตกต่ำอันโหดร้าย" แต่ยังคงจบด้วยตำแหน่งแชมเปี้ยนส์ลีก

แมนซิตี้

          สำหรับสโมสรที่เคยสร้างมาตรฐานสูงสุดในวงการฟุตบอลอังกฤษอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ การจบฤดูกาลด้วยการคว้าเพียงแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ และอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก อาจถูกนิยามว่าเป็น “ความตกต่ำอันโหดร้าย” ได้ไม่ยาก แม้ว่าสำหรับทีมอื่น ๆ การได้ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จะถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซึ่งเคยคว้าทริปเปิลแชมป์ในปี 2023 และครองแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้วหลายสมัยติดต่อกัน ฤดูกาล 2024/2025 จึงเป็นปีที่เต็มไปด้วยบทเรียนอันเจ็บปวดและข้อคำถามมากมาย

จุดเริ่มต้นของความคาดหวังที่ผิดหวัง ทริปเปิลแชมป์สู่ความท้าทายใหม่

          หลังจากฤดูกาล 2022/2023 ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าทริปเปิลแชมป์ (พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก) ความคาดหวังสำหรับฤดูกาล 2023/2024 และต่อเนื่องมาถึง 2024/2025 ย่อมสูงลิบลิ่ว การรักษามาตรฐานระดับนั้นเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่งในโลกฟุตบอลสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน

ความสำเร็จคือแรงกดดัน: การเป็นแชมป์ทุกรายการทำให้คู่แข่งต่างศึกษาและพยายามหาวิธีเอาชนะซิตี้อย่างเต็มที่ ทุกทีมต่างต้องการโค่นแชมป์ การเล่นภายใต้ความคาดหวังที่จะต้องชนะอยู่ตลอดเวลานั้นเป็นภาระทางจิตใจที่หนักหน่วง

ความท้าทายจากคู่แข่งที่แข็งแกร่ง: ลิเวอร์พูลภายใต้การนำของ เจอร์เก้น คล็อปป์ (ในช่วงต้นฤดูกาล) และ อาร์เน่ สล็อต (ในช่วงปลายฤดูกาล) รวมถึงอาร์เซนอลภายใต้ มิเกล อาร์เตต้า ได้พัฒนาทีมขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด พวกเขาไม่ใช่แค่คู่แข่ง แต่เป็นทีมที่พร้อมจะผลักดันซิตี้ให้ถึงขีดจำกัดอยู่ตลอดเวลา

ผลงานที่ไม่เป็นไปตามเป้า ตัวเลขที่ไม่โกหก

          เมื่อมองจากตัวเลขและผลงานจริงในฤดูกาล 2024/2025 ยิ่งชัดเจนว่านี่คือฤดูกาลที่ต่ำกว่ามาตรฐานของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างเห็นได้ชัด

พรีเมียร์ลีก: แชมป์หลุดมือ: ซิตี้จบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก ด้วยสถิติ ชนะ 21 เสมอ 8 แพ้ 9 ทำได้ 72 ประตู เสีย 44 ประตู และมี 71 คะแนน พวกเขาตามหลังแชมป์อย่าง ลิเวอร์พูล เพียง 2 แต้ม ซึ่งถือว่ายังสูสี แต่การเสีย 9 เกมและเสียประตูถึง 44 ลูก บ่งบอกถึงความไม่สม่ำเสมอและปัญหาในเกมรับที่เคยเป็นจุดแข็ง

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก: ตกรอบก่อนกำหนด: นี่คือความผิดหวังที่ใหญ่ที่สุด หลังจากคว้าแชมป์ในฤดูกาล 2023 พวกเขาถูกคาดหวังว่าจะทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องในเวทียุโรป แต่กลับต้องตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของ เรอัล มาดริด ด้วยสกอร์รวม 3-6 การแพ้ 3-0 ในเลกที่สองที่เจอกับฟอร์มอันร้อนแรงของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ที่ยิงแฮตทริกใส่ซิตี้ ถือเป็นการตกรอบที่เจ็บปวดและทำให้ภาพลักษณ์ของ “เต็งหนึ่ง” สั่นคลอน

เอฟเอ คัพ: ฝันสลายในรอบรองชนะเลิศ: ซิตี้เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ แต่พ่ายแพ้ให้กับคู่ปรับที่มาจากลอนดอน (ข้อมูลระบุว่าแพ้คริสตัล พาเลซ 0-1 ในรอบรองชนะเลิศ) เป็นการพลาดโอกาสคว้าแชมป์บอลถ้วยภายในประเทศอีกรายการ

คาราบาว คัพ: ตกรอบ 4: พวกเขาตกรอบฟุตบอลลีกคัพตั้งแต่รอบที่ 4 ซึ่งเป็นผลงานที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก

คอมมิวนิตี้ ชิลด์: แชมป์เดียวปลอบใจ: แชมป์เดียวที่พวกเขาทำได้ในฤดูกาลนี้คือการเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในการดวลจุดโทษในรายการคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ซึ่งเป็นถ้วยที่ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในระดับสูงสุด

สาเหตุแห่ง "ความตกต่ำ" ปัจจัยภายในและภายนอก

          มีหลายปัจจัยที่ผสมผสานกันจนนำไปสู่ฤดูกาลที่ต่ำกว่ามาตรฐานของแมนเชสเตอร์ ซิตี้

ความเหนื่อยล้าสะสมและการกร่อนเซาะของขุมกำลังหลัก:

ร่างกายและจิตใจ: การเล่นในระดับสูงสุดอย่างต่อเนื่องมาหลายฤดูกาล โดยแทบไม่มีช่วงพักเบรกที่เพียงพอ ทำให้ผู้เล่นหลักหลายคนประสบปัญหาความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ ฟอร์มการเล่นที่เคยสม่ำเสมอเริ่มมีความผันผวน

ผลกระทบจากอาการบาดเจ็บ: ปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่นสำคัญ โดยเฉพาะในแผงมิดฟิลด์และแนวรับ ส่งผลกระทบต่อความลึกของทีม และทำให้เป๊ปไม่มีตัวเลือกในการหมุนเวียนนักเตะมากนักในบางช่วงเวลา

การจากไปของ อิลคาย กุนโดกัน: แม้จะย้ายออกไปตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ปี 2023 แต่การขาดมิดฟิลด์ที่สามารถคุมจังหวะเกม เชื่อมเกมรุก-รับ และทำประตูสำคัญๆ อย่างกุนโดกัน ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อสมดุลในแดนกลางของซิตี้อย่างต่อเนื่องตลอดฤดูกาล 2024/2025

เควิน เดอ บรอยน์ กับปัญหาฟอร์มตก/บาดเจ็บ: แม้จะยังอยู่ในทีม แต่ฟอร์มของ เดอ บรอยน์ ในฤดูกาล 2024/2025 ไม่ได้อยู่ในระดับสูงสุดเหมือนที่เคยเป็นมา เขาต้องต่อสู้กับปัญหาอาการบาดเจ็บและฟอร์มที่ไม่สม่ำเสมอ การขาด “มันสมอง” ที่เคยเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์เกมรุก ทำให้เกมรุกของซิตี้ขาดความเฉียบคมในจังหวะสำคัญ

การเสียประตูที่มากขึ้น: การเสีย 44 ประตูในพรีเมียร์ลีก ถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่ามาตรฐานของซิตี้อย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกถึงปัญหาในการจัดระเบียบเกมรับและสมาธิของผู้เล่น

การรับมือเกมสวนกลับ: ทีมของเป๊ปยังคงมีปัญหาในการรับมือกับเกมสวนกลับที่รวดเร็วของคู่แข่ง โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับทีมที่มีความเร็วในแนวรุกสูงและสามารถจบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม ดังเช่นที่เห็นในเกมกับเรอัล มาดริด

แรงจูงใจ: หลังจากคว้าทุกแชมป์ที่เป็นไปได้ อาจมีผู้เล่นบางรายที่รู้สึกถึงความอิ่มตัว และความกระหายที่จะพิชิตเป้าหมายใหม่ๆ ลดลงไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง

การขาดความกระหายในบางนัด: ในบางเกมที่ดูเหมือนจะง่าย ซิตี้ก็แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดที่ไม่น่าเกิดขึ้น และการขาดความกระตือรือร้นที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา

ลิเวอร์พูลและอาร์เซนอล: อย่างที่กล่าวไปแล้ว ทั้งลิเวอร์พูลและอาร์เซนอลได้พัฒนาทีมขึ้นมาอย่างมาก พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นทั้งในเชิงแท็กติกและคุณภาพนักเตะ ทำให้การแข่งขันในพรีเมียร์ลีกเข้มข้นยิ่งขึ้น

เรอัล มาดริด ใน UCL: การที่เรอัล มาดริด สามารถยกระดับฟอร์มการเล่นของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการมาของเอ็มบัปเป้ ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล และเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าการจะคว้าแชมป์ยุโรปไม่ใช่เรื่องง่าย

"ความตกต่ำ" ที่ยังคงจบด้วยตำแหน่งแชมเปี้ยนส์ลีก ความลึกและปรัชญาที่ไม่เคยหายไป

          แม้จะผ่านฤดูกาลที่น่าผิดหวัง แต่การที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังคงสามารถจบด้วยอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก และคว้าตั๋วไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงจุดแข็งบางประการที่ยังคงอยู่

ความลึกของขุมกำลัง: แม้จะมีปัญหาอาการบาดเจ็บและความเหนื่อยล้า แต่ซิตี้ก็ยังคงมีขุมกำลังที่ลึกพอที่จะประคองทีมให้ยังคงอยู่ในกลุ่มหัวตารางของพรีเมียร์ลีกได้ พวกเขามีนักเตะที่มีคุณภาพสูงหลายคนในทุกตำแหน่ง ทำให้สามารถหมุนเวียนนักเตะได้ในระดับหนึ่ง

คุณภาพของนักเตะแต่ละคน: ผู้เล่นของซิตี้ส่วนใหญ่ยังคงเป็นนักเตะระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น เออร์ลิง ฮาลันด์ ที่ยังคงทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง (31 ประตูรวมทุกรายการ, 22 ในพรีเมียร์ลีก) โรดรี้ ที่ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลาง หรือ ฟิล โฟเดน ที่ยังคงพัฒนาฝีเท้าอย่างไม่หยุดยั้ง คุณภาพส่วนบุคคลเหล่านี้ช่วยให้ทีมยังคงสามารถเก็บแต้มได้ในหลายๆ เกม

ปรัชญาของเป๊ปที่ยังฝังลึก: แม้ผลงานจะไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่ปรัชญาการทำทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังคงฝังรากลึกอยู่ในดีเอ็นเอของทีม การเล่นแบบครองบอล, การสร้างสรรค์โอกาสอย่างเป็นระบบ, และการเพรสซิ่งสูง ยังคงเป็นแนวทางที่ซิตี้ยึดมั่น ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถควบคุมเกมในหลายๆ นัดได้

ความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้: แม้จะรู้ว่าโอกาสคว้าแชมป์ลีกเลือนลาง แต่ผู้เล่นของซิตี้ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้ และพยายามเก็บแต้มให้ได้มากที่สุดในช่วงท้ายฤดูกาล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการจบอันดับ Top 4

บทเรียนที่ต้องเรียนรู้ ก้าวสู่ฤดูกาล 2025/2026

          ฤดูกาล 2024/2025 จะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับฤดูกาลหน้า

ทดแทน เดอ บรอยน์: การจากไปของ เควิน เดอ บรอยน์ อย่างเป็นทางการในช่วงซัมเมอร์ 2025 เป็นช่องว่างขนาดใหญ่ที่ต้องเติมเต็ม การเข้ามาของ ทิยานี่ ไรจ์นเดอร์ส และ รายัน แชร์กี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการทดแทน แต่การจะหาใครมาแทนอิทธิพลของ เดอ บรอยน์ ได้ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องยาก

เสริมความสดใหม่ในแดนกลาง: การนำเข้ามิดฟิลด์ที่มีพลังงานสูงและสามารถวิ่งได้ตลอดทั้งเกม จะช่วยลดภาระของ โรดรี้ และเพิ่มความหลากหลายในการเล่น

แบ็คขวาคนใหม่: การเสีย ไคล์ วอล์คเกอร์ ไปให้กับเบิร์นลีย์ ทำให้ซิตี้ต้องมองหาแบ็คขวาคนใหม่ที่สามารถเติมเต็มบทบาทได้ (เช่น รายัน อายต์-นูรี ที่ย้ายเข้ามา)

การบริหารจัดการขุมกำลังและอาการบาดเจ็บ: เป๊ปจะต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการผู้เล่นให้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากอาการบาดเจ็บและความเหนื่อยล้าสะสม การหมุนเวียนนักเตะอย่างชาญฉลาดจะเป็นสิ่งสำคัญ

การปรับปรุงเกมรับ: ซิตี้จะต้องกลับมามีความแข็งแกร่งในเกมรับเหมือนเดิม การเสียประตู 44 ลูกในพรีเมียร์ลีกเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรับมือกับเกมสวนกลับของคู่แข่ง

การฟื้นฟูความกระหาย: เป๊ปจะต้องหาวิธีที่จะปลุกเร้าความกระหายและแรงจูงใจของผู้เล่น ให้กลับมาอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันเพื่อทุกแชมป์ได้อีกครั้ง

ความท้าทายที่รออยู่ และการเดินทางสู่การไถ่ถอน

         ฤดูกาล 2024/2025 เป็น “ความตกต่ำอันโหดร้าย” สำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเทียบกับมาตรฐานที่พวกเขาเคยสร้างไว้ อย่างไรก็ตาม การจบด้วยตำแหน่งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก็เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าพวกเขายังคงเป็นทีมระดับท็อป และมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งพอที่จะอยู่ในระดับการแข่งขันสูงสุด

บทเรียนจากฤดูกาลที่ผ่านมาจะเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับเป๊ป กวาร์ดิโอล่า และทีมงานของเขา การจากไปของแกนหลักอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ และ ไคล์ วอล์คเกอร์ จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นใหม่ได้เข้ามาเติมเต็มและสร้างมิติใหม่ให้กับทีม

แมนฯ ซิตี้ กำลังจะเข้าสู่ฤดูกาล 2025/2026 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะ “ไถ่ถอน” ความผิดหวังในอดีต พวกเขาจะยังคงเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก และจะมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แฟนบอลทั่วโลกคงต้องจับตาดูว่า “เรือใบสีฟ้า” จะสามารถกลับมาผงาดและสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ได้อีกครั้งหรือไม่ในฤดูกาลที่กำลังจะมาถึงนี้

บทความที่เกี่ยวข้อง